ธัมมาภิสมัย

พระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัย




พระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัย หมายถึงพระสูตรเมื่อแสดงออกมาแล้ว มีเทวดาบรรลุมรรคผลกันมาก

 

อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ ๑๘ โกฏิ อย่างมากก็คือไม่สามารถจะนับจำนวนได้ มีอยู่ ๖ สูตรคือ

๑. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

๒. มงคลสูตร

๓. มหาสมัยสูตร

๔. ราหุโลวาทสูตร

๕. ปราภวสูตร

๖. สมจิตตสูตร


ห้าสูตรแรกนั้น พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงแสดงเอง แต่สูตรสุดท้าย คือสมจิตตสูตรนั้น

พระสารีบุตรผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาซึ่งเลิศด้วยปัญญาเป็นผู้แสดง


ความสำคัญของพระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัย ก็คือมีเทวดาบรรลุมรรคผลจากพระสูตรเหล่า

นี้เป็นจำนวนมาก และก็เป็นธรรมดาที่ว่า ผู้ใดบรรลุมรรคผลเพราะพระสูตรใด ก็จะมีความ

ชอบในพระสูตรนั้นเป็นพิเศษ แสดงว่าเทวดาที่ชอบพระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัยนั้น จะมีมาก

กว่าพระสูตรทั่วๆ ไป ฉะนั้นท่านโบราณจารย์ท่านจึงแนะนำให้พุทธศาสนิกชน นำพระสูตร

ที่เป็นธัมมาภิสมัยมาสวดกันบ่อยๆ เพราะว่าผู้สวดจะเป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาจำนวนมาก

เทวดาทั้งหลายก็จะคุ้มครองรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข จะประกอบกิจการอันใด ก็จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีด้วยเทวานุภาพ และเมื่อนำไปสวดในสถานที่ใด จะทำให้บังเกิดเป็นมงคลสถานเจริญรุ่งเรือง สถานที่นั้นและบุคคลในสถานที่นั้น จะได้รับการคุ้มครองรักษาจากเทวดาทั้งหลาย

พระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัยที่นิยมนำมาสวดกัน คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มงคลสูตร และมหาสมัยสูตร สำหรับธัมมจักกัปปวัตนตสูตรและมงคลสูตรนั้น มีพิมพ์เผยแพร่แพร่หลายตามหนังสือสวดมนต์ทั่วไป อย่างเช่นในหนังสือมนต์พิธี สามารถหาดูได้ง่าย แต่สำหรับมหาสมัยสูตรนั้น จะมีครบถ้วนเต็มสูตรอยู่ในหนังสือสวดมนต์ ๑๒ ตำนานและหนังสือสวดมนต์ฉบับหลวง ในหนังสือมนต์พิธีนั้นไม่มีมหาสมัยสูตรครบเต็มสูตรมีแต่ท่อนท้าย จะปรากฏอยู่ในหนังสือมนต์พิธีว่า ท้ายมหาสมัยสูตร

ในหนังสือเล่มนี้ ได้นำธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนท้ายของมหาสมัยสูตร และเต็มสูตรของมงคลสูตรมาพิมพ์เอาไว้ พร้อมทั้งจะอธิบายมงคลทั้ง ๓๘ ประการ เพื่อประโยชน์แก่ท่านพุทธบริษัทจะนำไปประพฤติปฏิบัติด้วย และท่านสาธุชนท่านใดจะนำมงคลสูตรไปสวดทุกวันก็ขออนุโมทนา จะบังเกิดเป็นมงคลชีวิตแก่ท่านเป็นอย่างยิ่ง วิธีการสวดมงคลสูตร จะเริ่มสวดแต่เริ่มต้นตรง เอวัมเม สุตัง ก็ได้ หรือจะลัดมาเริ่มต้นสวดตรง อะเสวะนา จะ พาลานัง ก็ได้เช่นเดียวกัน

บัดนี้จะได้ชักนิทานมาแสดงแก่ท่านสาธุชน ให้เห็นถึงความที่มหาสมัยสูตรนั้นเป็นที่รักที่ชอบใจแก่เทวดาทั้งหลาย เพื่อจะได้พอกพูนศรัทธาปสาทะแก่ท่านสาธุชน นิทานเรื่องนี้มาในคัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย มหาวรรค ตอนมหาสมัยสูตร ท่านกล่าวว่า มหาสมัยสูตรนี้เป็นที่รักที่ชอบใจของพวกเทวดา ฉะนั้นในสถานที่ใหม่เอี่ยม (เช่นวัดเริ่มสร้าง บ้านสร้างใหม่) เมื่อจะกล่าวมงคล ก็พึงกล่าวแต่พระสูตรนี้นั่นเทียว

ได้ยินว่า ในช่วงเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังแสดงมหาสมัยสูตรอยู่นั้น พวกเทวดาพากันคิดว่า พวกเราจะฟังพระสูตรนี้ แล้วก็เงี่ยโสตลงฟัง ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงจบ เทวดาจำนวนหนึ่งแสนโกฏิได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว ส่วนมรรคผลเบื้องต่ำทั้ง ๓ คือ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบันนั้น จำนวนเทวดาที่บรรลุไม่สามารถที่จะนับได้ ฉะนั้นเพราะเหตุนี้มหาสมัยสูตรจึงเป็นสูตรหนึ่งที่เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลายเป็นอันมาก

มีเรื่องเล่าว่า ที่วัดโกฏิบรรพต มีเทพธิดาองค์หนึ่งอยู่ที่ต้นกากะทิง ใกล้ประตูถ้ำกากะทิง ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งท่องมหาสมัยสูตรภายในถ้ำ เทพธิดาองค์นั้นได้ฟังแล้ว ในเวลาจบพระสูตรเทพธิดาก็ได้ให้สาธุการด้วยเสียงอันดัง

ภิกษุหนุ่มจึงถามว่า "นั่นใคร"

เทพธิดาตอบว่า "ดิฉันเป็นเทพธิดาเจ้าค่ะ"

ภิกษุหนุ่มถามอีกว่า "ทำไมจึงได้ให้สาธุการ"

"ท่านเจ้าคะ ดิฉันได้ฟังพระสูตรนี้ในวันที่สมเด็จพระทศพลประทับนั่งแสดงในป่ามหาวัน วันนี้ได้ฟังอีก ธรรมบทนี้ท่านถือเอาดีแล้ว เพราะไม่ทำให้อักษรแม้ตัวเดียวคลาดจากคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ที่ป่ามหาวันเมื่อครั้งโน้นเลย"

ภิกษุถามอีกว่า "เมื่อพระทศพลกำลังแสดงอยู่ คุณได้ฟังหรือ"

"อย่างนั้น เจ้าค่ะ"

"เขาว่าเทวดาเข้าประชุมมาฟังกันมาก แล้วคุณยืนฟังที่ไหน"

"ท่านเจ้าคะ ดิฉันเป็นรุกขเทวดาอยู่ในป่ามหาวัน มีศักดิ์น้อย ก็เมื่อเทวดาชั้นผู้ใหญ่กำลังพากันมา ดิฉันไม่ได้ที่ว่างในชมพูทวีปเลย ต้องถอยร่นไปสู่ตามพปิณณิทวีป ยืนริมฝั่งที่ท่าชัมพูโกล แต่แม้จะถอยมาถึงท่านั้นแล้วก็ตาม เมื่อเทวดาชั้นผู้ใหญ่ทยอยมาเพิ่ม ดิฉันก็ต้องถอยร่นมาโดยลำดับ แช่น้ำทะเลลึกแค่คอ ทางส่วนหลังของหมู่บ้านใหญ่ในจังหวัดโรหณะ แล้วก็ยืนฟังในที่นั้น"

"จากที่ซึ่งคุณยืนอยู่มันไกลนัก แล้วคุณเห็นพระศาสดาหรือ เทพธิดา"

"ทำไมจะไม่เห็นท่าน ด้วยพุทธานุภาพนั้น ดิฉันรู้สึกว่า พระศาสดาซึ่งกำลังทรงแสดงธรรมอยู่ในป่ามหาวัน ทรงแลดูดิฉันโดยเฉพาะเจาะจงอยู่เสมอ จนดิฉันรู้สึกเกรงและละอาย"

ภิกษุจึงถามต่อว่า "เขาเล่าว่า วันนั้นมีเทวดาแสนโกฏิสำเร็จพระอรหัตผล แล้วคุณล่ะตอนนั้นได้สำเร็จพระอรหัตผลด้วยหรอกหรือ"

"ไม่หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ"

"สำเร็จอนาคามิผล กระมัง"

"ไม่หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ"

"เห็นจะสำเร็จสกิทาคามิผล กระมัง"

"ไม่หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ"

"เขาว่า พวกเทวดาที่สำเร็จมรรคผลตั้งแต่โสดาบันไปจนถึงอนาคามีนั้นไม่สามารถนับจำนวนได้ แล้วคุณล่ะเทพธิดา สงสัยจะได้บรรลุโสดาบันกระมัง"

ซึ่งความจริง ในวันนั้นเทพธิดาองค์นี้ได้บรรลุโสดาปัตติผล เมื่อถูกภิกษุถามเจาะจงเข้าจึงรู้สึกเขินอาย เทพธิดาจึงได้กล่าวตัดบทว่า "พระคุณเจ้าไม่น่าถามซอกถามแซก"

ลำดับนั้น ภิกษุนั้นจึงกล่าวกับเทพธิดาว่า "นี่แน่ะ คุณเทพธิดา คุณจะสามารถแสดงกายให้อาตมาเห็นได้หรือไม่"

เทพธิดาตอบว่า "จะแสดงหมดทั้งตัวไม่ได้หรอกค่ะท่านผู้เจริญ ดิฉันจะแสดงแก่พระคุณเจ้าแค่ข้อนิ้วมือ" ว่าแล้ว เทพธิดาก็เอานิ้วสอดเข้าไปในถ้ำ นิ้วมือก็ปรากฏแก่ภิกษุนั้นเหมือนกับว่าพระจันทร์พระอาทิตย์ขึ้นเป็นพันๆ ดวง เทพธิดากล่าวว่า "จงอย่าประมาทในธรรมนะ ท่านเจ้าคะ" แล้วไหว้ภิกษุหนุ่ม ก่อนจากไป

อันว่ามหาสมัยสูตรนี้ ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลายอย่างนี้ เพราะว่าเทวดาทั้งหลายย่อมถือว่าพระสูตรนั้นเป็นของเราด้วยประการฉะนี้แล

อนึ่งมิใช่แต่มหาสมัยสูตร พระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัยย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของหมู่เทวดาทั้งหลายเช่นเดียวกัน ฉะนั้นท่านสาธุชนทั้งหลายจงปลูกศรัทธาให้บังเกิดขึ้นในดวงจิต หมั่นสวดสาธยายพระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัยอยู่เถิด ท่านจะเป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดา เทวดาทั้งหลายจะคอยคุ้มครองปกปักรักษาให้อยู่ดีมีสุขเจริญรุ่งเรือง คิดจะประกอบกิจการอันใดก็จะสำเร็จผลเป็นอัศจรรย์เหนือมนุษย์ทั้งปวง ด้วยอำนาจเทวานุภาพช่วยเหลือเกื้อกูลดังนี้แล

 

ที่มา : http://www.palapanyo.com/files/anisong/fcontent.php?f=dhampis.html